Jordan Henderson จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ประวัติ มิดฟิลด์ห้องเครื่อง อาแปะ แห่งแอนฟิลด์ กองกลางกัปตันทีม ลิเวอร์พูล

Jordan Henderson (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน) เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 1990 ที่เมืองซันเดอร์แลนด์ ในประเทศอังกฤษ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีฐานะระดับปานกลาง โดยมีคุณพ่อที่เป็นอดีตนักฟุตบอลในลีกสมัครเล่น ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขานั้นเริ่มหลงใหลและพร้อมที่จะมอบชีวิตให้กับกีฬาลูกหนัง ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะได้ก้าวเข้าไปเป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชนของสโมสร ซันเดอร์แลนด์ ในวัยเพียงแค่ 7 ขวบเท่านั้น

ประวัติของ Jordan Henderson (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน)

ชื่อ : Jordan Henderson (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน)

ชื่อเต็ม : Jordan Brian Henderson (จอร์แดน ไบรอัน เฮนเดอร์สัน)

เกิดวันที่ : 17 มิถุนายน พ.ศ.2533

สถานที่เกิด : ซันเดอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ

ความสูง : 182 เซนติเมตร

ตำแหน่ง : กองกลาง

Jordan Henderson เริ่มต้นชีวิตลูกหนังกับสโมสร ซันเดอร์แลนด์

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เขาเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้รวยมาก ฐานะปานกลาง โดยเขามีคุณพ่อเป็นถึงอดีตนักฟุตบอลของทีมกรมตำรวจเดอแรม ทำให้ตัวของ Henderson หลงใหลในกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่ตอนเขายังเด็ก อาจจะเป็นเพราะสายเลือดของเขาที่ได้จากคุณพ่อที่ชื่นชอบกีฬาชุดนี้ ทำให้ Henderson ได้เข้าเป็นนักฟุตบอลในทีมเยาวชนของสโมสร ซันเดอร์แลนด์ ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เขาเซ็นสัญญากับสโมสรเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2551

ซึ่งตัวของ Jordan Henderson นั้น ไม่ได้มีพรสวรรค์ในการเล่นฟุตบอลแต่อย่างใด แต่มันคือความขยัน ความมุ่งมั่น ในการคว้าโอกาสที่จะได้ลงเล่นฟุตบอลของเขา ทำให้โค้ชในทีมเยาวชน ซันเดอร์แลนด์ มองเห็นความพยายม จนเขายกย่องให้เขาเป็นเด็กที่มีหัวใจยอดนักสู้ Henderson เริ่มต้นการค้าแข้งกับสโมสร ซันเดอร์แลนด์

เขาเปิดตัวในลีกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 ในเกมเยือนที่ได้ผ่านแพ้ให้กับทีม เชลซี ไป 5-0 โดยเขาได้ลงเล่นมาเป็นตัวสำรองในครึ่งแรก

หลังจากนั้นเขาก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง ลงเล่นให้กับทีมในตำแหน่งปีก โดยเวลานั้นเขาสามารถพาทีมคว้าชัยชนะ และ ทำผลงานทีมออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เขาถือว่าเป็นอีกหนึ่งกำลังหลักสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ชุด U-18 ในปี 2008 มาครอบครองได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะถูกปล่อยตัวเพื่อไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ กับสโมสร โคเวนทรี ซิตี้ ต่อในปี 2009

Jordan Henderson เก็บเกี่ยวประสบการณ์กับสโมสร โคเวนทรี ซิตี้

หลังจากที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน พาทีมเยาวชน ซันเดอร์แลนด์ ชุด U-18 คว้าแชมป์ลีกมาได้สำเร็จ เขาก็ได้รับข้อเสนอจากสโมสรลีกล่างอย่างมากมาย ในเดือนมกราคม พ.ศ.2552 ทางสโมสรจึงตัดสินใจส่งเขาไปฝึกฝีเท้าต่อกับสโมสร โคเวนทรี ซิตี้ การย้ายมาร่วมทีมในครั้งนี้เป็นสัญญาการยืมตัว 1 เดือน ทำให้ Jordan Henderson ได้โอกาสในการลงเล่นในสนามอย่างต่อเนื่อง เปิดตัวเกมแรกกับสโมสร โคเวนทรี กับการพ่ายแพ้ให้กับ ดาร์บี้เคาน์ตี้ 2-1

เฮนเดอร์สัน มั่นฝึกซ้อมอย่างหนัก และ ลงให้กับสโมสรมาเรื่อยๆ ด้วยสไตล์การเล่นของเขาที่ชาญฉลาดทั้ง การจ่ายบอล การอ่านเกม การทำประตู ทำให้ในไม่ช้าเขาก็ได้กลายเป็นที่รักของแฟนบอล โดยเขาลงเล่นไปทั้งหมด 13 นัด และสามารถทำไปได้ 1 ประตู ก่อนที่พักหลังเขาจะต้องพักฟื้นร่างกาย จากอาการบาดเจ็บ กระดูกฝ่าเท้าท่อนที่ 5 แตกหัก จากการเข้าปะทะอย่างหนัก ทำให้ซีซั่นที่เหมือนจะไปได้ดีของเขากับสโมสรต้องจบลงอย่างรวดเร็ว และ ถูกส่งตัวไปรักษากับสโมสรต้นสังกัดในเดือน เมษายน

ห้องเครื่องคนสำคัญของ แมวดำ ซันเดอร์แลนด์

Jordan Henderson ได้กลับมารักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ กระดูกฝ่าเท้าหัก ในซีซั่น 2009-2010 ที่สโมสร ซันเดอร์แลนด์ จนหายจากอาการบาทเจ็บ และ เขาเริ่มกลับมาซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมได้อีกครั้ง แต่การกลับมาในครั้งนี้ ทำให้ เฮนเดอร์สัน ถูกทางต้นสังกัดของสโมสรล็อคตัวให้ขึ้นลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ ในตำแหน่งปีกขวา ตัวจริง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่น่าจับตามองของฟุตบอลอังกฤษ ด้วยสไตล์การเล่นที่โดดเด่น จึงไม่แปลกที่จะมีสโมสรยักษ์ใหญ่มากมายสนใจในตัวเขา

ในซีซั่นต่อมา จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้รับความไว้วางใจจากผู้จัดการทีม นั้นจึงทำให้เขาได้กลายเป็นนักเตะตัวหลักของ สโมสร ซันเดอร์แลนด์ ในชนิดที่ว่าขาดไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุน้อย แต่ สตีฟ บรูซ นายใหญ่ของทัพแมวดำในเวลานั้น ก็ได้เข้ามาแก้ไข และ ปรับตำแหน่งของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในเวลานั้น โดยการย้ายจากตำแหน่งปีก มาเล่นใรตำแหน่ง มิดฟิลด์ตัวกลางเป็นตัวขับเคลื่อนเกมในสนาม ซึ่งการปรับตำแหน่งในครั้งนี้ ทำให้ฟอร์มการเล่นของเขาออกมาโดดเด่นมากยิ่งขึ้น เพราะ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มีทักษะการจ่ายบอลที่ดี และ แม่นยำ แถมเขายังสามารถอ่านเกมได้อย่างชาญฉลาดสามารถแก้เกมได้อย่างทันท่วงที เรียกได้ว่าตอนนั้นไม่มีใครหยุดชายคนนี้ได้จริงๆ

เขาได้กลายเป็นหัวใจหลักของ ซันเดอร์แลนด์ ทำให้ในฤดูกาล 2010-2011 เขาสามารถลงเล่นให้กับสโมสรครบ 38 นัด ทำไปได้ 2 ประตู เขาทำประตูแรกให้กับสโมสรอาวุโสกับ เบอร์มิงแฮมซิตี้ ในลีกคัพรอบที่ 3 จากนั้นเขาก็ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีกกับ แมนเชสเตอร์ซิตี้ ในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552 จากฟอร์มการเล่นที่ดี และ สกิลการพัฒนาฝีเท้าอย่างสม่ำเสมอทำให้ทางต้นสังกัดไม่รอช้า วันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2553 รีบต่อสัญญากับเขาต่อทันที โดยสัญญาต่อยาวไปอีก 5 ปี นอกจากนี้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยังได้รางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี ประจำฤดูกาล 2010-2011 ของสโมสร ซันเดอร์แลนด์ อีกด้วย

หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมในฤดูกาล 2010-2011 เขาลงเล่นไปทั้งหมด 39 นัด และ ยิงไปได้ 3 ประตู รวมถึงดับเบิ้ลลีกในนัดแรกของเขาด้วยเมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่พบกับ วีแกนแอธเลติก ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2554 Henderson ได้รับการเสนอชื่อในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ FIFA ให้เขาได้เป็นหนึ่งในผู้เล่น 13 คนที่อายุน้อย แต่น่าจับตามอง ในปี พ.ศ.2554 หลังจากนั้นเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นเยาวชนแห่งปีของ ซันเดอร์แลนด์ ในฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน หลังจบซีซั่นดังกล่าว Jordan Henderson ได้กลายเป็นนักเตะที่เนื้อหอม เพราะมีเหล่าบันดา สโมสรยักษ์ใหญ่มาตามจีบ แต่แล้ว ก็เป็นสโมสร ลิเวอร์พูล ที่สามารถเจรจายื่นข้อเสนอซื้อตัว Henderson มาได้สำเร็จ

ย้ายซบ ลิเวอร์พูล ความหวังใหม่แห่ง แอนฟิลด์

หลังจาก Jordan Henderson สร้างผลงานมากมายให้กับสโมสร ซันเดอร์แลนด์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่รอช้ารีบยื่นข้อเสนอเป็นจำนวนเงิน 20 ล้านปอนด์ หรือราวๆ แปดร้อยห้าสิบสี่ล้านบาทไทย เพื่อที่จะดึงตัวเขามาร่วมทีม พร้อมทั้งให้เสื้อหมายเลข 14 และคาดหวังมากที่จะให้เขาเข้ามาเป็นตัวแทนของกัปตันทีมอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด ในฤดูกาลแรกที่ย้ายมา เฮนเดอร์สัน ต้องทำงานอย่างหนักหน่วง เพื่อที่เข้าจะหาโอกาสได้ลงเล่นในสนามในฐานะนักเตะตัวจริง แต่เนื่องจากการปรับตัวของเขา และ ชุดนักเตะในตอนนั้น ลิเวอร์พูล มีแต่แต่นักเตะชื่อดัง ทำให้เขาต้องรอโอกาสที่จะได้ลงเล่นในสนาม

ซึ่งส่วนใหญ่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จะถูกส่งไปลงเล่นในลีกคัพเพียงเท่านั้น หลังจากที่เขาพยายามหมั่นฝึกซ้อมในที่สุดโอกาสก็มาถึง ในซีซั่นต่อมาเขาได้มีโอกาสโชว์ผลงาน เขาเปิดตัวนัดแรกของลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก 2011-2012 โดยเสมอกับซันเดอร์แลนด์สโมสรเก่า 1-1 ซึ่งในตอนนั้นเขาได้รับการต้อนรับจากแฟนคลับ ซันเดอร์แลนด์ เป็นอย่างมาก ในวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2554 Henderson ทำประตูแรกให้กับสโมสร ลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ลีกที่แอนฟิลด์ กับ โบลตัน วันเดอเรอร์ส

ต่อมาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555 เฮนโด้ ลงเล่นในตำแหน่งกองกลางด้านขวาในนัดชิงชนะเลิศลีกคัพ 2012 ของลิเวอร์พูล เหนือคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 58  เขาเริ่มที่จะได้ลงเล่นแทน สตีเวน เจอร์ราร์ด อยู่บ่อยครั้ง จนเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม เขาได้ลงเล่นครบ 90 นาที ในขณะที่ลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ให้กับ เชลซี 2-1 ในศึกเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ 2012 หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นกำลังคนสำคัญในแดนกลางของทีม หงส์แดง สำเร็จ จบฤดูกาลเขาทำไปได้ 2 ประตู จากการลงเล่นทั้งหมด 48 เกม ก่อนที่ในเวลาต่อมา เจอร์ราร์ด จะได้ย้ายออกจากสโมสรไป ทำให้ในเวลาต่อมาเหล่าเพื่อนๆ สาวกหงส์แดงได้ทำการโหวตเขาให้ได้รับปลอกแขนกัปทีมในเวลาต่อมา

รับช่วงต่อจาก เจอร์ราร์ด กัปตันคนใหม่ของชาว เดอะค็อป

หลังจากที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด ได้อำลาสโมสร ลิเวอร์พูล ไปอยู่กับทาง LA Galaxy ทีมดังยักษ์ใหญ่ในประเทศอเมริกา ซึ่งทางด้านสโมสร ลิเวอร์พูล และ เพื่อนๆ ได้ทำการแต่งตั้งให้ Henderson สวมปลอกแขนกัปตันคนต่อไป ในวันที่ 1 มีนาคม 2015 เฮนโด้ ได้ประเดิมสนามในฐานะกัปตันทีมคนใหม่ ในเกมสโมสรเปิดบ้านเอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี้ ไป 2-1 ถือเป็นการประเดิมปลอกแขนครั้งใหม่ที่น่าจดจำ จากการที่เขาได้เป็นผู้นำเขามักจะกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมได้อยู่เสมอ ทำให้เขาสามารถปลุกใจเพื่อนร่วมทีมให้มีแรงวิ่งแรงผลักดันในเกมที่เล่นได้แบบน่าเหลือเชื่อ ทำให้ แบรนแดน ร็อคเจอร์ส ผู้จัดการทีมในเวลานั้น ได้ทำการต่อสัญญาเขายาวออกไปถึง ปี 2020 พร้อมทั้งเพิ่มค่าเหนื่อยให้กับ Henderson เพิ่มเป็น 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

ประกาศความยิ่งใหญ่ สร้างความสำเร็จกับ ลิเวอร์พูล

เฮนโด้ เปิด ประวัติศาสตร์ ครั้งใหม่กับการพาทีม ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ UCL สมัยที่ 6 จากการเข้ามาสร้างทีม และ ปรังปรุงทีมครั้ง ยิ่งใหญ่ ของ กุนซือ อย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้สร้างความแปลกใหม่ในสโมสรเป็นอย่างมาก แต่มีสิ่งนึงที่ไม่เปลี่ยนและอยู่กับทีมอยู่เสมอคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ยังคงรับตำแหน่งกัปตันทีม ลิเวอร์พูล และ ยังคงบัญชาเกมอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะมีบางช่วงที่เขาฟอร์มตก หรือ ได้รับอาการบาดเจ็บก็ตาม แต่เขาก็ยังได้รับความไว้วางใจจากผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลอยู่ตลอด

ต่อมาในฤดูกาล 2018-2019 เฮนเดอร์สัน และ สโมสรลิเวอร์พูล ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง เพราะเขาสามารถพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศในการแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยต้องเข้าไปชิงถ้วยบิ๊กเอียร์ กับสโมสร ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์

ในเวลาต่อมา เป็นฝ่าย ลิเวอร์พูล ที่สามารถเอาชนะไปได้ด้วย สกอร์ 2-0 พร้อมคว้าแชมป์ และ ประกาศศักดาว่าเป็นเจ้าของ ทวีปยุโรป ในสมัยที่ 6 สำเร็จ จนกระทั่งปลายปี 2019 สโมสร ลิเวอร์พูล ได้ประกาศความยิ่งใหญ่อีกครั้ง เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ในศึกการแข่งขันฟุตบอล ชิงแชมป์สโมสรโลก ได้สำเร็จ จากการเอาชนะ ทีม ฟลาเมงโก สโมสร ชั้นนำจาก ประเทศ บราซิล เอาชนะไปด้วยสกอร์ 1-0 คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ

ประสบการณ์ใน ทีมชาติอังกฤษ ของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เปิดตัวในรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี กับสาธารณรัฐเช็กในปี 2552 ก่อนที่จะบุกไปในทีมอายุต่ำกว่า 21 ปี ของ สจ๊วร์ด เพียร์ซ เขาสามารถยิงประตูแรกในสีเสื้อทีมชาติอังกฤษ ในการแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี รอบเพลย์ ออฟ กับ โรมาเนีย โดยยิงวอลเลย์ จากนอกเขตโทษเข้าประตูไปแบบสวยงาม พาทีมชาติอังกฤษขึ้นนำในเวลานั้น Henderson ได้รับเลือกให้ติดชุดทีมชาติ U21 ในการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรป 2011 แต่น่าเสียดายที่ ทีมชาติอังกฤษตกรอบตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม

เขาเป็นกัปตันของทีมชาติอังกฤษชุด U21 ในการพาทีมเอาชนะ 6-0 เหนืออาเซอร์ไบจาน U-21 เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2554 โดยเขาสามารถยิงไปได้ 1 ประตูในยูโร 2013 รอบคัดเลือก หลังจากนั้นเขาก็ทำประตูที่ 4 ในรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ในเกมเยือนนอร์เวย์ 2-1 ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 Jordan Henderson ได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นชุด U-21 แห่งปีของอังกฤษในปีแรกได้รับรางวัล เขาเป็นกัปตันทีมอายุต่ำกว่า 21 ปี ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี 2013

หลังจากนั้น Jordan Henderson ก็มีชื่อติดทีมชาติอังกฤษ มาอย่างต่อเนื่อง และได้มีส่วนสำคัญในการพาทีมชาติอังกฤษเข้าไปแข่งขัน ในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย โดยการแข่งขันทัวร์นาเมนนั้น ทีมชาติอังกฤษถูกเรียกได้ว่าเป็นม้ามืดที่มาแรงที่สุด เพราะสามารถล้มยักษ์ใหญ่มาหลายทีม ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ ทีมชาติเบลเยี่ยม ไปด้วยสกอร์ 2-0 จบรายการนี้ไปด้วยการเป็นอันดับที่ 4 ของทัวร์นาเมนต์

เกียรติประวัติของ เฮนโด้

สโมสร ลิเวอร์พูล

  • พรีเมียร์ลีก : 2019–2020
  • ฟุตบอลลีกคัพ/อีเอฟแอลคัพ : 2011–2012 , 2021–2022
  • เอฟเอ คอมมูนิตี้ ชีลด์ : 2022
  • ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2018–2019 , 2021–2022
  • ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ : 2019
  • รองแชมป์ยูฟ่ายูโรเปี้ยนแชมเปี้ยนชิพ : 2020
  • อันดับสามของ ยูฟ่าเนชั่นส์ลีก : ฤดูกาล 2018-19

รางวัลส่วนตัว

  • รางวัลดาวรุ่งอังกฤษยอดเยี่ยมแห่งปี : 2012
  • นักเตะเยาวชนแห่งปีของลิเวอร์พูล : 2011–2012
  • นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของซันเดอร์แลนด์ : 2009–2010 , 2010–2011
  • ประตูยอดเยี่ยม พรีเมียร์ลีก ประจำเดือน : กันยายน 2559
  • นักกีฬาชายอาวุโสแห่งปีของอังกฤษ : 2019
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของ FWA : 2019–2020
  • รางวัลผู้เล่นแห่งฤดูกาลของลิเวอร์พูล : 2019–2020
  • ทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก PFA : 2019–2020
  • ทีม ESM แห่งปี : 2019–2020